รู้จักความกลัว

รู้จักความกลัว

341
0
แบ่งปัน

**** “รู้จักความกลัว” ****

เรามาพูดถึงความกลัวกันดีไหม..

ความกลัวนี้ มันมีกันทุกคน

ท่านต้องนี่ แกกลัวผี

แกบวชแล้วก็ยังกลัวผี

ไม่ใช่ว่า บวชแล้วจะหายกลัวผีนะ

ทีนี้

เมื่อจำเป็นที่จะต้องนอนอยู่คนเดียว

โน่น..แกนอนอยู่ชายป่าหน้าหาดปลายแหลมโน่น

ที่ตรงนั้น มันก็เปลี่ยวเนอะ

มีพวงมาลัยของพวกหาปลา

มาแขวนมาบนบาลยิ่งดูเหมือนที่อยู่เหล่าผี

กลางวันน่ะไม่เท่าไหร่

แต่กลางคืนนี่ เงียบเหงาวังเวง

ข้าบอกให้ท่านต้องนี่ ฝึกแผ่เมตตา

พอถึงเวลาแกก็ไปยืนทำปากมุบๆมิบๆ แถวแหลมชายหาดนั่นแหละ

ท่านต้องนี่ แกเป็นพระดี

ตั้งใจบวชมาเพื่อแสวงหากุศล

กำลังทางใจแกก็เยอะ

พอยืนแผ่เมตตา

ผีแถวนั้นก็โมทนารับส่วนบุญ

เมื่อผีโมทนารับส่วนบุญ

กระแสแห่งการโมทนา มันก็โถมกลับมาหาท่านต้อง

มันทำให้ท่านต้อง ขนลุกขนพองสยองเกล้าขึ้นมา

ตัวงี้ชา มีอาการร้อนๆหนาวๆไล่ไปตามร่างกาย

เกิดมาไม่เคยเผชิญอาการผีโมทนา

แกก็กลัวจับใจ

แต่ไม่รู้จะทำไงดี

ก็ที่นอน ดันมาอยู่ซะไกลใครอื่น

นัยว่า พ่อของท่านมาทำไว้ให้

ความกลัวนี่

มันไม่เข้าใครออกใคร

สิ่งที่จะทำได้ดีที่สุดก็คือ

หันหลังกลับ

มานอนที่ศาลาหินร้อยก้อนเหมือนเดิม

ยอมให้ใครๆเขาล้อกัน

ท่านต้องจะพูดเหน่อๆสำเนียงทางกาญจน์ว่า

” ผ่มไม่คิด ว่าการโมทนาแผ่เมตตามันจะทำให้ขนลุกขนพองได้ขนาดนี้ ไม่บวชนี่ไม่รู้ ”

คนเรานั้น

ชีวิตเกิดมาไม่เคยเผชิญอาการเช่นนี้

บอกอย่างไร ใครก็ไม่รับรู้ถึงอาการที่เป็นหรอก

ไอ้ความกลัวนี่ มันเป็นธรรมชาติของจิต

ความกลัวนี่ มันขจัดได้ด้วยปัญญา

ไม่ใช่ขจัดได้ด้วยความไม่กลัว

อย่างที่เราเข้าใจกัน

ท่านต้องเดี๋ยวนี้อยู่ตรงนั้นได้

ท่านฝึกจนคุ้นเคยที่จะอยู่กับมัน

นี่..เป็นการย้อมใจ ทนฝืนกระแสแห่งใจตน

ที่จะฝืนทนและอยู่กับมันให้ได้

แม้ทุกวันนี้ ท่านจะอยู่ได้

แต่ก็ไม่ใช่ว่า ท่านจะไม่กลัว

ที่อยู่ได้

เพราะท่านเคยชินที่จะอยู่ในที่ตรงนั้น

ความเคยชิน ทำให้ท่านฝืนทนอยู่ได้

เวลาเดินจงกรม ขนหัวก็ลุกตั้งพองขนสยองเกล้า

เสียงเดิน เสียงเหยียบไม้ เสียงคนคุยกัน

มันทำให้จิตท่านสะดุ้งหาความสงบจากความไม่กลัวไม่ได้

ที่อยู่ได้นี่

เกิดจากความเคยชินล้วนๆ

บางคนนี่ ไม่กลัว เขาก็อยู่ของเขาได้ ด้วยความไม่กลัว

ฉะนั้น ทั้งความกลัวและไม่กลัวนี่

มันเป็นเรื่องจริงตามธรรมชาติจิต

เราพึงควรยอมรับมัน

กลัวก็ผลอย่างหนึ่ง

ไม่กลัวก็ผลอย่างหนึ่ง

ทั้งกลัวและไม่กลัว มันเสมอกันทางด้านความคิด

ไม่ได้มีอะไรดีกว่ากัน

ในวิถีพุทธนั้น

ไม่ใช่ขจัดความกลัว ด้วยความไม่กลัวเข้าไปแทน

พุทธวิถีนั้น

ให้ใช้ปัญญาเข้าไปพิจารณา

แทนที่ความโง่เขลางมงาย

ที่ทำให้เจ้าของ เกิดความกลัวหรือไม่กลัว

นี่..สำคัญมันอยู่ตรงนี้

เราแก้ปัญหากันด้วยวิถีแห่งปัญญา

ไม่ใช่แก้กันด้วยความกล้า และทำใจกันขึ้นมา

ท่านต้อง ใช้วิธีที่ได้รับการอบรมทุกวัน

ในการอบรมจิตใจ ให้อยู่ในสถานที่

ที่ท่านหวาดกลัวได้

หนึ่งในนั้นก็คือ การสละกายแรงกาย ในการสร้างองค์พระ

ในการสละออกมาบวช

ในการเป็นพระที่มีธรรมวินัย

นี่..ท่านนำสิ่งเหล่านี้มาโยนิโส

เพื่อที่จะประคองใจของท่าน ให้อยู่กับสิ่งที่ท่านกลัวให้ได้

ท่านมั่นใจว่าท่านเป็นคนดี เป็นพระดี

คนดีๆ ทำไมผีต้องมากลั่นแกล้ง ต้องมาหลอกหลอนด้วยเล่า

ทำไมไม่ไปหลอกหลอนคนเหี้ยๆทำลายป่า ฆ่าสัตว์ อะไรพวกนู่นเล่า

การโยนิโสบ่อยๆ เหมือนเข้าข้างตัวเอง

มันก็ช่วยให้ใจท่านต้องแข็งแรงขึ้นได้

ท่านอยู่ได้

แต่ไม่ใช่ว่า ท่านไม่กลัว

เมื่อไหร่ที่ท่านนั้นไม่กลัว

เมื่อนั้น ท่านก็โต่งไปอีกด้านอีก

ไม่แตกต่างไปจากที่ท่านกลัว

นี่..การเรียนรู้นั้น

มันจะต้องมาเผชิญและปฏิบัติตัวตนเอาเองอย่างนี้

แล้วเอาประสบการณ์เหล่านี้

ออกมาตีความวินิจฉัย

ใจที่ได้รับการย้อมเช่นนี้อยู่เนืองๆ

มันจะเป็นใจที่แข็งแรง

ใจที่แข็งแรงด้วยปัญญา

มันจะเข้าใจ และอยู่กับความกลัวได้

มันดูคล้ายๆว่าจะไม่กลัว

แต่ความจริง เป็นผู้รู้จักความกลัวและไม่กลัว

ว่ามันเป็นอาการแห่งจิต

ไม่ใช่เราเป็น

นี่..คนมีปัญญาหาทางออกจากทุกข์ทั้งปวงได้นี่

มันเป็นคนที่มีปัญญาเท่านั้น

ไม่ใช่ การเอาตัวเข้าไปเป็นเจ้าของในทุกอาการที่ใจมันแสดงออกมา

เมื่อเข้าใจ

มนุษย์เราจะอยู่ที่ตรงไหนก็ได้

จะนอนตรงไหนก็ได้

ชีวิตมันก็จะอยู่ง่ายขึ้น

ด้วยปัญญาความรู้ที่ตรงกับความเป็นจริง

ไม่เช่นนั้น

เราก็จะหลงงมงาย กับความกลัวอย่างลมๆแล้งๆแบบไอ้แสงมัน

ถอดถอนความกลัวทั้งหลาย

ด้วยปัญญาที่แสวงหาตรงต่อความเป็นจริง

เมื่อเราพบ

เราจะเห็นว่า

เราก็ยังมีความกลัวอยู่เป็นธรรมดา

ทั้งๆที่เราจะเห็นว่า

เรานั้นจริงๆก็ไม่ได้กลัว

กลัวอย่างรู้แล้ว กับกลัวอย่างไม่รู้และงมงายนี่

มันแตกต่างกัน

เรา..พึงมีชีวิตอย่างเรียนรู้ให้ตรงต่อความเป็นจริง

หวัดดียามเที่ยง..

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

วันที่ 26 ธันวาคม 2560